ทนายณฐพฤกษ์ วันทา พร้อมให้คำปรึกษาและรับทำคดีต่างๆ ของท่าน โทร.0961600526
   

      

                

                    โทษทางอาญามีอะไรบ้าง (บทความจากคู่มือต่อติดราชการศาลยุติธรรม ฉบับประชาชน)

                    โทษทางอาญามี 5 สถาน คือ

          1. ประหารชีวิต   จำเลยจะถูกดำเนินการด้วยวิธีฉีดยาหรือสารพิษให้ตาย
          2. จำคุก   จำเลยจะถูกจองจำไว้ในเรือนจำ การคำนวณระยะเวลาจำคุกจะนับวันเริ่มจำคุกรวมเข้าด้วยและนับเป็น 1 วันเต็ม โดยไม่คำนึงถึงจำนวนชั่วโมงถ้า  ถ้าระยะเวลาจำคุกกำหนดเป็นเดือนก็นับ 30 วันเป็นหนึ่งเดือน  ถ้ากำหนดเป็นปีก็คำนวณตามปีปฏิทินในบริเวณที่จำเลยถูกต้องขังอยู่ก่อนวันที่ศาลมีคำพิพากษาให้นำมาหักออกจากโทษจำคุกด้วย
          3. กักขัง  จำเลยจะถูกกักขังไว้ในสถานที่ที่กักกันซึ่งกำหนดไว้แต่ไม่ใช่ที่เรือนจำ
          
4. ปรับ  ถ้าจำเลยไม่ชำระค่าปรับภายในกำหนดนับแต่วันที่ศาลพิพากษา  จะถูกยึดทรัพย์สินหรือถูกกักขังแทนค่าปรับ แต่หากศาลมีเหตุสงสัยว่าจำเลยไม่ชำระค่าปรับ ศาลอาจสั่งให้กักขังจำเลยแทนค่าปรับไปก่อนก็ได้โดยการกักขังแทนค่าปรับ จะถืออัตรา 200 บาทต่อวัน และหากจำเลยเคยถูกคุมขังมาก่อนไม่ว่าจะเป็นชั้นสอบสวนหรือชั้นศาล  ศาลจะนำวันที่ถูกคุมขังมาหักออกด้วย
          5. ริบทรัพย์สิน  เป็นโทษที่กระทำแก่ทรัพย์ที่ถูกยึดไว้เป็นของกลาง

              *สิทธิของผู้ต้องหาและจำเลย (บทความจากคู่มือต่อติดราชการศาลยุติธรรม ฉบับประชาชน)

                     ผู้ต้องหาที่ถูกควบคุมตัวในชั้นสอบสวนมีสิทธิดังนี้

          1. ให้การหรือไม่ยอมให้การตอบรับงานสอบสวนหรือขอให้การในชั้นศาลเนื่องจากคำให้การนั้นอาจเป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีของศาลได้
          2. พบและปรึกษาผู้ที่เป็นทนายความเป็นการเฉพาะตัว
          3. ให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการ สอบปากคำตนได้ในชั้นสอบสวน
          4. ได้รับการเยี่ยมหรือติดต่อญาติได้ตามสมควร
          5. ได้รับการรักษาพยาบาลโดยเร็วเมื่อเกิดอาการป่วย
          6. ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวต่อพนักงานสอบสวนหรือต่อศาลแล้วแต่กรณี

 
                   จำเลยที่ถูกฟ้องต่อศาลแล้วมีสิทธิดังนี้

          1. แต่งตั้งทนายความเพื่อแก้ต่างในชั้นไต่สวนมูลฟ้องหรือพิจารณาในศาลชั้นต้นตลอดจนชั้นศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา
          2. ปรึกษาทนายความหรือผู้ที่จะเป็นทนายความเป็นการเฉพาะตัว
          3. ตรวจดูสำนวนการไต่สวนมูลฟ้องหรือพิจารณา ของสารคัดสำเนาหรือขอสำเนาที่มีการรับรองว่าถูกต้องโดยเสียค่าธรรมเนียม
          4. ตรวจดูสิ่งที่ยื่นเป็นพยานหลักฐานคัดสำเนาหรือถ่ายรูปสิ่งนั้นๆ
          5. ตรวจหรือคัดสำเนาคำให้การของตนในชั้นสอบสวนหรือเอกสารประกอบคำให้การของตน ทั้งนี้หากมีทนายความทนายความย่อมมีสิทธิเดียวกับจำเลยตามที่กล่าวมาแล้วด้วย
          6. ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวต่อศาล
          7. คัดค้านองค์คณะผู้พิพากษา


       ข้อความปฏิบัติเมื่อถูกฟ้องคดีอาญา

          เมื่อรู้ตัวว่าถูกฟ้องควรทำอย่างไร (บทความจากคู่มือต่อติดราชการศาลยุติธรรม ฉบับประชาชน)

          1. เมื่อถูกฟ้องเป็นจำเลยควรปรึกษาทนายความ และตั้งทนายความ เพื่อว่าความและดำเนินการทางศาลแทน
          2. เมื่อจำเลยได้รับหมายเรียกให้ยื่นคำให้การจะต้องยื่นคำให้การภายในกำหนด
          3. การนับระยะเวลายื่นคำให้การจะเริ่มนับตั้งแต่วันที่จำเลยได้รับหมายเรียกหรือสำเนาคำฟ้อง หรือบุคคลอื่นที่อายุเกิน 20 ปี ซึ่งอยู่ในที่ทำงาน ที่บ้านหรือ ที่ทำงานด้วยกันกับจำเลย รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแทน แต่หากเป็นกรณีส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยด้วยการปิดหมายและสำเนาคำฟ้องไว้ที่บ้านหรือที่ทำงานของจำเลยหรือประกาศทางโฆษณาหนังสือพิมพ์การนับระยะเวลาจะเริ่มนับเมื่อพ้น 15 วัน นับแต่วันปิด หรือวันประกาศโฆษณา กล่าวง่ายๆคือจำเลยได้เวลาเพิ่มอีก 15 วัน ซึ่งถ้าจำเลยไม่สามารถยื่นคำให้การภายในกำหนดได้ ก็อาจจะยื่นคำร้องขอให้ศาลขยายระยะเวลายื่นคำให้การโดยต้องมีเหตุผลพิเศษ อ้างเหตุที่ขอขยายระยะเวลานั้น จากนั้นจึงเป็นดุลพินิจของศาลที่จะอนุญาตหรือไม่ 
          4. เตรียมหลักประกันเพื่อยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวต่อศาล
          5. จะต้องมาศาลตามกำหนดนัด

          6. หากมีข้อสงสัยให้โทรศัพท์สอบถามเจ้าหน้าที่ที่ประชาสัมพันธ์ของศาลที่จำเลยถูกฟ้อง




ทนายณฐพฤกษ์

พูดคุย-สอบถาม